10 สิ่งที่ต้องจำไว้สำหรับการตกแต่งภายในบ้านครั้งแรกของคุณ
หากไม่มีหลักการตกแต่งภายในบ้านคุณจะรู้สึกสับสนต่อหน้าเฟอร์นิเจอร์มากมาย ยิ่งกว่านั้นเมื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์เป็นครั้งแรกทุกคนรู้สึกยากในช่วงเวลาที่เลือก
ใครก็ตามที่ต้องการไลฟ์สไตล์ที่รัดกุมควรมีการตกแต่งภายในที่เพิ่มพื้นที่จัดเก็บให้สูงสุดและผู้ที่ชื่นชอบการตกแต่งจะสามารถใช้แสงหรืออุปกรณ์เสริมที่เผยให้เห็นบุคลิกของพวกเขาหากคุณมีไลฟ์สไตล์ที่มีแขกจำนวนมากไม่ว่าบ้านจะมีขนาดใดคุณจะต้องมีโต๊ะและเก้าอี้มากกว่า 6 คนและหากคุณเลี้ยงสัตว์เลี้ยงคุณควรเลือกวัสดุและการออกแบบที่คำนึงถึงคนและสัตว์ หลังจากพิจารณาถึงรูปแบบชีวิตของฉันแล้วฉันต้องไปซื้อของก่อนที่พื้นที่จะเสร็จสมบูรณ์ดังนั้นฉันจึงพอใจมากมีหลักการช้อปปิ้งภายในที่ดีที่ต้องจำไว้ล่วงหน้าเพื่อเลือกสิ่งที่ถูกต้อง
10 หลักการช้อปปิ้งที่ต้องจดจำ เรานำเสนอเคล็ดลับในการตกแต่งภายในบ้านด้วยตัวเอง
1. เฟอร์นิเจอร์ไม่ใช่สิ่งที่ต้องใช้ตลอดชีวิต
เฟอร์นิเจอร์ไม่สามารถใช้งานได้ตลอดไปมันไม่ได้เปลี่ยนไปบ่อยเท่าแฟชั่นแต่เฟอร์นิเจอร์ก็มีเทรนและถ้าคุณย้ายเข้าไปในบ้านหลังใหญ่หรือถ้าสมาชิกในครอบครัวเปลี่ยนไปก็ต้องเปลี่ยนแน่นอน แน่นอนว่าความทนทานของเฟอร์นิเจอร์เป็นสิ่งสำคัญแต่คำแนะนำของผู้ใหญ่ในการเลือกสิ่งที่คุณสามารถใช้ได้ตลอดไปนั้นยังห่างไกลจากวิถีชีวิตในทุกวันนี้ ไม่ว่าคุณจะใช้งานไปนานแค่ไหนอายุการใช้งานของเฟอร์นิเจอร์อยู่ที่ประมาณ 10 ปีมันไม่สายเกินไปที่จะซื้อเฟอร์นิเจอร์คุณภาพสูงที่จะใช้สำหรับอายุการใช้งานหรือจะถูกส่งต่อไปหลังจากที่ค่อยๆสร้างสไตล์ของคุณเอง
2. แสดงรสนิยมของคุณผ่านงบที่จำกัด
เมื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์เป็นครั้งแรกผู้คนมักไม่รู้ว่าพวกเขากำลังมองหาอะไรด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องกำหนดงบประมาณที่เหมาะสมล่วงหน้าแม้ว่าอาจมีความแตกต่างของแต่ละบุคคลใน 'งบประมาณที่เหมาะสม' ฉันขอแนะนำให้คุณเลือกหนึ่งอย่างที่ถูกที่สุดเป็นครั้งแรกที่คุณซื้อมัน นี่เป็นเพราะพวกเขาส่วนใหญ่มักจะค่อยๆพัฒนารสนิยมของตัวเองเมื่อพวกเขาเดินหน้าและดูแลเกี่ยวกับการตกแต่งภายในหากคุณต้องการรู้รสนิยมของคุณคุณสามารถเปิดตู้เสื้อผ้าและตรวจสอบสไตล์แฟชั่นของคุณ เมื่อมองไปที่เสื้อผ้าและอุปกรณ์เสริมที่คุณมีคุณสามารถรู้สีกที่คุณชื่นชอบวัสดุบรรยากาศและอื่น ๆ เป็นความคิดที่ดีที่จะซื้อนิตยสารมีชีวิตสักสองสามฉบับแล้วดูพวกเขาราวกับว่าคุณกำลังศึกษาอยู่เมื่อเร็ว ๆ นี้มีหลายแพลตฟอร์มที่ให้รูปถ่ายภายในดังนั้นจึงมีเนื้อหามากมายให้ใช้ หลังจากหาสไตล์ที่เหมาะกับรสนิยมของคุณ คุณจะต้องหยิบมันขึ้นมาและตกแต่งภายในให้เสร็จสิ้นดังนั้นจึงไม่เสียใจหลังจากช้อปปิ้ง
3.การตกแต่งภายในบ้านต้องเป็นไปตามการวางแผนชีวิต
ในช่วงเวลาของการตกแต่งภายในครั้งแรกทุกคนคิดเกี่ยวกับพื้นที่ที่ใช้ประโยชน์จากรสนิยมของตนเองอย่างไรก็ตามในกรณีของบ้านที่เพิ่งแต่งงานใหม่ไม่ว่าคุณจะมีลูกหรือย้ายสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยจะเปลี่ยนแปลงไปคู่บ่าวสาวที่สร้างห้องนั่งเล่นสไตล์คาเฟ่สุดหรูโดยไม่คาดคิด จากการมีทารกและถอดเฟอร์นิเจอร์ห้องนั่งเล่นสไตล์คาเฟ่ออกเช่นเดียวกับบ้านหลังแรก...
เปลี่ยนหน้าอิดโรยให้กลับมาดูสดใสด้วย 8 เทคนิคแต่งหน้าที่ทำตามได้แบบง่ายๆ
การรักษาผิวหน้าให้ดูสดชื่นตลอดเวลาอาจเป็นเรื่องยากสำหรับใครหลายคน
ไม่ว่าจะเป็นการโหมทำงานจนดึก การทำสารพัดงานบ้าน และการทุ่มเทเวลาไปกับการดูแลลูก
ก็ล้วนแต่ทำให้ใบหน้าของคุณดูอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน อย่างไรก็ตาม
แม้ว่ามีความจำเป็นบางอย่างที่อาจทำให้คุณนอนหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ
แต่การแต่งหน้าสามารถช่วยเปลี่ยนใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าให้กลับมาดูสดใสในเวลาไม่กี่นาที
วันนี้เราจะมาแชร์เทคนิคการแต่งหน้าแบบง่าย ๆ ที่จะช่วยคืนความสดใสให้ใบหน้าของคุณ
1.ใช้น้ำเย็นล้างหน้า
ใบหน้าของเรามักจะดูบวมขึ้นเล็กน้อยในตอนเช้า
ซึ่งการใช้น้ำเย็นล้างหน้าจะช่วยให้รูขุมขนเล็กลง และปลอบปะโลมดวงตา
อีกทั้งยังทำให้ผิวสดชื่น การล้างหน้าด้วยน้ำเย็นจึงเป็นวิธีง่าย ๆ
ที่ช่วยให้คุณดูสดใสขึ้น อย่างไรก็ตาม ที่ต้องใช้เป็นน้ำเย็นก็เพราะว่า
น้ำที่อุณหภูมิสูงจะทำให้ผิวของคุณแห้งกร้านกว่าเดิม
2.เติมความชุ่มชื้นให้ผิว
ผิวที่ขาดน้ำจะทำให้คุณดูหม่นหมองได้ค่ะ
ดังนั้นอย่าลืมใช้มอยส์เจอไรเซอร์เป็นตัวช่วย ซึ่งในปัจจุบันมีมอยส์เจอไรเซอร์สำหรับคนทุกสภาพผิววางขายในท้องตลาด
เช่น ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย ผิวมัน หรือผิวปกติ
เพียงแต่คุณต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง
ซึ่งการใช้มอยส์เจอไรเซอร์จะทำให้ผิวชุ่มชื้น และดูเปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติ
3.ใช้คอนซีลเลอร์สีอ่อนทาใต้ดวงตา
เมื่อนอนไม่เพียงพอ
ดวงตาของคุณก็จะดำคล้ำ ทำให้ดูเหนื่อยล้าหรือดูอิดโรยมากกว่าเดิม
ทั้งนี้การใช้คอนซีลเลอร์จะช่วยปกปิดรอยคล้ำใต้ดวงตา
โดยให้คุณเลือกใช้คอนซีลเลอร์ที่มีสีอ่อนกว่าผิว
ซึ่งสามารถช่วยให้ใบหน้าดูสดใสและมีชีวิตชีวามากขึ้น
4.เพิ่มความเปล่งปลั่งให้ผิวด้วยไฮไลท์เตอร์
ไฮไลท์เตอร์ (Highlighter) เป็นอีกหนึ่งไอเท็มเด็ดที่คุณควรหาซื้อติดโต๊ะเครื่องแป้ง
ในวันที่ใบหน้าของคุณดูหม่นหมองหรือเหนื่อยล้า
ไฮไลท์เตอร์สามารถช่วยเนรมิตผิวของคุณให้ดูเปล่งปลั่ง และมีชีวิตชีวาได้ในไม่กี่วินาที
แต่ก็พยายามอย่าปัด ไฮไลท์เตอร์หนักมือจนเกินไป
และเกลี่ยให้ดีเพื่อให้ผิวดูเป็นธรรมชาติ
5.ปัดขนตา
การปัดขนตาจะช่วยให้ดวงตาดูโตขึ้นและดูสดใส หลังจากที่ปัดขนตาแล้ว ให้ใช้มาสคาร่าสีเข้มเพิ่มความหนาให้ขนตา...
เผยเคล็ด(ไม่)ลับฉีดน้ำหอมให้ติดทนไปทั้งวัน
การมีกลิ่นกายที่หอมถือเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของทั้งผู้ชายและผู้หญิง
ซึ่งหนึ่งในตัวช่วยที่สามารถทำให้คุณมีกลิ่นหอมได้แบบเร่งด่วนก็คือ น้ำหอม
อย่างไรก็ตาม หลายคนที่ใช้น้ำหอมอาจเคยเจอปัญหาน้ำหอมไม่ติดทนหรือกลิ่นเลือนในระหว่างวัน
หากคุณกำลังเจอกับปัญหานี้ก็อย่าเพิ่งนอยด์ไปก่อนค่ะ
ลองมาดูหลากเทคนิคที่จะช่วยให้คุณมีกลิ่นกายที่หอมตลอดวันพร้อมกันเลยดีกว่า
ขั้นตอนที่ 1: เติมความชุ่มชื้นให้ผิว
น้ำหอมจะยิ่งติดทนนานขึ้นเมื่อผิวของเรามัน ถ้าคุณรู้ตัวว่าเป็นคนผิวแห้ง ก็ควรทามอยส์เจอไรเซอร์แบบที่ไม่มีกลิ่นก่อนฉีดน้ำหอม ทั้งนี้การทาโลชั่นที่มีกลิ่นเดียวกับน้ำหอมจะยิ่งทำให้กลิ่นติดทนนานขึ้นค่ะ
ขั้นตอนที่ 2: รู้ตำแหน่งการฉีดน้ำหอม
ความร้อนของร่างกายจะทำให้น้ำหอมปล่อยกลิ่นออกมา
ถ้าอยากให้กลิ่นเด่นชัดและติดทนนานขึ้น ให้คุณเน้นฉีดน้ำหอมบริเวณที่มีชีพจร
ซึ่งเป็นบริเวณที่อุ่น เพราะมีการสูบฉีดเลือดใกล้กับผิวบริเวณนี้
สำหรับบริเวณที่เหมาะแก่การฉีดน้ำหอม เช่น ข้อมือ ด้านหลังหู
ด้านข้างคอ หลังหัวเข่า และด้านหลังข้อศอก คุณอาจเลือกฉีดน้ำหอมที่บริเวณนี้ และอย่าเผลอฉีดหนักมือจนเกินไป
อย่างไรก็ตาม หนึ่งในข้อผิดพลาดที่หลายคนน่าจะเคยทำก็คือ
การถูข้อมือเข้าหากันหลังจากฉีดน้ำหอม ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้โมเลกุลของน้ำหอมเสียหายและทำให้กลิ่นเปลี่ยนไป
ทั้งนี้ให้คุณใช้วิธีกดข้อมือเข้าหากันอย่างเบามือแทนค่ะ
ขั้นตอนที่ 3: ฉีดน้ำหอมที่เส้นผม
แม้ว่าคุณไม่ควรฉีดน้ำหอมที่เส้นผมโดยตรง เพราะว่าแอลกอฮอล์จะทำให้ผมแห้งกร้าน
แต่คุณสามารถฉีดน้ำหอมที่หวีได้ค่ะ...
สมองดีสร้างได้! 7 เคล็ดลับช่วยให้ความจำดีขึ้น
เคยไหมกับการหากุญแจรถหรือของใช้ในบ้านไม่เจอเพราะจำไม่ได้ว่าวางไว้ตรงไหน?
หากคำตอบคือใช่
เราอยากบอกว่าคุณไม่ได้เผชิญกับปัญหานี้คนเดียว
อาการหลงลืมสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางออก
เพราะการทำกิจกรรมบางอย่างสามารถช่วยให้คุณมีความจำที่เฉียบแหลมและป้องกันการสูญเสียความจำได้ค่ะ
ลองมาดูกันดีกว่าว่ามีกิจกรรมใดบ้าง
1.ออกกำลังกายทุกวัน
การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปทั่วทั้งร่างกายไม่เว้นแม้แต่สมอง
ซึ่งอาจช่วยรักษาความจำของคุณให้เฉียบคมอยู่เสมอ สำหรับวิธีออกกำลังกายที่อยากแนะนำก็คือ
การออกกำลังกายแบบแอโรบิกระดับหนักปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น การเดินเร็ว
หรือหากออกกำลังกายแบบแอโรบิกระดับหนัก เช่น วิ่งเหยาะ ก็พยายามออกกำลังกายให้ได้ 75 นาทีต่อสัปดาห์
แต่ถ้าคุณไม่มีเวลา ก็อาจพยายามเดินให้ได้วันละ 10 นาที
2.หมั่นฝึกสมอง
หากการออกกำลังกายช่วยให้คุณมีร่างกายที่แข็งแรง
ในทำนองเดียวกัน การทำกิจกรรมที่กระตุ้นสมองก็จะช่วยให้สมองมีสุขภาพดี
และอาจช่วยป้องกันไม่ให้คุณสูญเสียความจำ ตัวอย่างของกิจกรรมที่ช่วยลับสมอง เช่น การเล่นปริศนาอักษรไขว้
(Crossword) การใช้เส้นทางอื่นเมื่อขับรถ การเรียนดนตรี การเป็นอาสาสมัคร
ฯลฯ
3.เข้าสังคมเป็นประจำ
การมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเท่านั้น
แต่ยังช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าและความเครียดอีกด้วย...
รวม 8 นิสัยที่ยิ่งทำให้คุณยิ่งเครียด
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ความรับผิดชอบก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว จึงไม่แปลกที่หลายคนมีอาการเครียดหรือวิตกกังวลกับเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องงาน สถานะทางการเงิน หรือครอบครัว อย่างไรก็ตาม นิสัยบางอย่างก็สามารถทำให้คุณวิตกกังวลได้ไม่แพ้กัน ซึ่งความกลัวหรือความรู้สึกไม่ปลอดภัยอาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ค่ะ เราลองมาเช็คพร้อมกันเลยดีกว่าว่ามีนิสัยอะไรบ้างที่ควรเลิกได้แล้ว
1.ต้องการควบคุมทุกอย่าง
หากคุณเป็นคนที่ชอบบงการ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ครอบครัว หรือความสัมพันธ์ ก็จะทำให้คุณเป็นคนที่เครียดง่ายและวิตกกังวลเกินเหตุ
การยอมรับว่าไม่มีใครที่สามารถควบคุมได้ทุกสิ่งทุกอย่าง การหัดมอบหมายงาน และการหัดเชื่อใจคนอื่น
ก็อาจช่วยคลายความรู้สึกไม่สบายใจและความวิตกกังวลได้ค่ะ
2.พยายามทำให้ทุกคนพอใจ
การต้องคอยทำให้คนรอบข้างพอใจอยู่เสมออาจทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยในบางครั้ง
โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับคนอื่นจนลืมคิดถึงตัวเอง หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป
สุดท้ายคุณก็จะไม่มีความสุข ดังนั้นอย่าลืมให้ความสำคัญกับความต้องการของตัวเองก่อนที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้คนอื่น
3.นอนน้อยเกินไป
การนอนน้อยกว่า
7-8
ชั่วโมงต่อคืน อาจทำให้คุณอารมณ์ไม่ดี อ่อนเพลีย และวิตกกังวลในวันถัดไป
นอกจากการนอนให้เพียงพอแล้ว ก็ควรพยายามจัดตารางนอนให้ได้เวลาเดิม และปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนเข้านอนทุกครั้ง
4.ติดคาเฟอีน
แม้ว่ากาแฟมีสารหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย...