8 วิธีดูแลดวงตาให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ดวงตาเป็นหนึ่งในอวัยวะที่เราใช้งานมากที่สุด และมักเป็นอวัยวะที่หลายคนละเลยในการดูแล
หากดวงตาทำงานผิดปกติหรือใช้การไม่ได้ แน่นอนว่าก็จะส่งผลต่อการใช้ชีวิตไม่มากก็น้อย
จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรหมั่นดูแลดวงตาเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม มีหลายวิธีที่สามารถช่วยรักษาดวงตาของคุณให้มีสุขภาพดี
และป้องกันปัญหาหรือโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับดวงตา ลองมาดูกันดีกว่าว่ามีวิธีใดบ้าง
1.หลีกเลี่ยงการขยี้ตา
ในแต่ละวันเราต่างก็ใช้มือเพื่อจับสิ่งต่าง ๆ ซึ่งบรรดาสิ่งสกปรก ฝุ่น
และแบคทีเรียจำนวนมาก ก็จะติดอยู่ที่มือของเราโดยไม่รู้ตัว
การใช้มือจับหรือขยี้ตาจะทำให้สิ่งเหล่านี้เข้าตาได้อย่างง่ายดาย
หากรู้ตัวว่าชอบขยี้ตาจนติดเป็นนิสัย
ก็ให้พยายามหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันการติดเชื้อและการระคายเคือง และล้างมือเป็นประจำเพื่อป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเข้าตา
2.ปกป้องดวงตาจากแสงอาทิตย์
หากดวงตาโดนแสงแดงและรังสียูวี ก็จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคจุดภาพชัดเสื่อมในผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น
(Age-related Macular Degeneration) และอาจทำให้กระจกตาอักเสบ
ดังนั้นอย่าลืมสวมแว่นกันแดดที่สามารถป้องกันรังสียูวีและสวมหมวกเมื่อต้องออกไปเดินท่ามกลางแสงแดดจัด
3.ดื่มน้ำ
การดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นเรื่องที่สำคัญมากค่ะ
เพราะน้ำมีส่วนช่วยในการทำงานของกระบวนการและอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย
ไม่เว้นแม้แต่ดวงตา หากร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอ ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้ตาแห้งและระคายเคือง
ดังนั้นอย่าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำเป็นอันขาด
4.ไม่สูบบุหรี่
การสูบบุหรี่มีโทษนับไม่ถ้วน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ การเสี่ยงที่จะเป็นโรคจุดภาพชัดเสื่อมในผู้สูงอายุ...
7 สิ่งที่เกิดขึ้นกับผิวเมื่อคุณนอนหลับ
เมื่อพูดถึงเรื่องการนอน
เรามักจะได้ยินเสมอว่าการนอนไม่เพียงพอสามารถส่งผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจ
แถมยังทำให้รู้สึกไม่สดชื่น หรืองัวเงียจนต้องพึ่งกาแฟในเช้าวันถัดไป นอกจากนี้คุณทราบหรือไม่ว่า
การนอนกับผิวยังสัมพันธ์กันด้วยค่ะ เคยสงสัยไหมว่า ทำไมผิวถึงดูอิ่มเอิบและสดใสกว่าปกติหลังจากที่ได้นอนเต็มอิ่มหรือนอนหลับสนิทตลอดคืน
วันนี้เราจะพาคุณไปค้นหาคำตอบนี้พร้อมกัน
และมาดูกันว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับผิวขณะที่คุณนอนหลับบ้าง
1.มีการสร้างเซลล์ผิวใหม่
เราต่างก็ทราบกันดีว่า การนอนส่งผลต่อร่างกายอย่างไรบ้าง
แต่บางคนอาจยังไม่รู้ว่าเซลล์ผิวมีการเปลี่ยนแปลงในระหว่างที่เรานอนด้วยค่ะ ทั้งนี้มีหลายงานวิจัยพบว่า
ไม่ว่าคุณจะนอนหลับหรือไม่ก็ตาม ในช่วงประมาณ 23.00-24.00 น. ร่างกายจะสร้างเซลล์ผิวใหม่
และซ่อมแซมผิวที่เสียหาย ซึ่งช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงพีคเลยก็ว่าได้ และเป็นเวลาที่เซลล์ผิวจำเป็นต้องได้รับสารอาหารมากที่สุด
และจะได้รับประโยชน์จากสารต้านชราจากผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อย่างเต็มที่
2.ผิวเสียความชุ่มชื้น
ผิวจะหลั่งซีบัมออกมามากที่สุดตอนเที่ยงวัน
แต่เมื่อถึงช่วงเวลากลางคืน ก็จะไม่มีชั้นของน้ำมันตามธรรมชาติที่ผิว จึงทำให้ร่างกายเสียน้ำมากขึ้น
ทั้งนี้เราจะเรียกภาวะสูญเสียน้ำที่ผิวว่า Transepidermal Water Loss โดยเกิดขึ้นตอนสิ้นวันและกลางคืน
ดังนั้นคุณควรเติมน้ำให้ผิวโดยใช้มอยส์เจอไรเซอร์
3.อุณหภูมิของผิวเปลี่ยนไป
เมื่อคุณนอน ผิวจะร้อนและมีความเป็นกรดมากขึ้นเล็กน้อย
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผิวแห้งขึ้น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมแพทย์ผิวหนังมักแนะนำให้ใช้ครีมที่มีเนื้อหนักตอนกลางคืน
แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของผิวด้วย หากคุณมีผิวมัน...
7 วิธีเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เพื่อสู้ภาวะความดันโลหิตสูง
ภาวะความดันโลหิตสูง หรือที่เรียกว่า Hypertension ถือเป็นอีกภาวะหนึ่งที่ผู้ป่วยจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาตอนเริ่มแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็สามารถทำให้เกิดโรคหัวใจ และโรคอื่น ๆ ตามมา จึงทำให้ภาวะนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “The Silent Killer” นั่นเอง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราสามารถรักษาภาวะความดันโลหิตสูงได้ด้วยการทานยา แต่การหมั่นไปตรวจร่างกาย และการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ก็ยังคงเป็นเรื่องที่จำเป็น หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังเผชิญกับภาวะนี้ หรืออยากป้องกันตัวเอง เราลองมาดูวิธีควบคุมความดันโลหิตพร้อมกันเลยดีกว่า
1.ออกกำลังกาย
หากคุณมีภาวะความดันโลหิตสูง การออกกำลังกายสามารถช่วยคุณได้ในระดับหนึ่งค่ะ...
5 วิธีดูแลตัวเองเมื่อกล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บ
คนที่ออกกำลังกายบางคนอาจเคยประสบปัญหากล้ามเนื้อบาดเจ็บ
โดยเฉพาะคนที่เล่นกีฬาหรือบริหารร่างกายด้วยวิธีอื่น ๆ หลายครั้งต่อสัปดาห์
อย่างไรก็ตาม เวลาที่ร่างกายใช้ในการฟื้นตัวของแต่ละคนจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
เช่น ชนิดและขนาดของการบาดเจ็บ สุขภาพ ภาวะทางกายภาพ และอาหาร แต่ก่อนที่เราจะไปดูวิธีที่ช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวจากการบาดเจ็บเร็วขึ้น
เราลองมาดูสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนี้กันก่อนค่ะ
สาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บ
กล้ามเนื้อขาดความสมดุล: กลุ่มของกล้ามเนื้อทั้งหมดประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ตรงข้ามกัน
เช่น กล้ามเนื้อไบเซฟ (Biceps) และกล้ามเนื้อไตรเซพ (Triceps) หรือกล้ามเนื้อชุดควอดริเซ็บ (Quadriceps) และกล้ามเนื้อแฮมสตริง (Hamstrings) เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม หากกล้ามเนื้อที่เป็นคู่ตรงข้ามกันเสียสมดุล ความเสี่ยงที่จะเกิดการบาดเจ็บก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นความยืดหยุ่นต่ำ: ยิ่งกล้ามเนื้อแข็งตัวมากเท่าไร
ก็จะยิ่งเสี่ยงต่อการบาดเจ็บมากขึ้นเท่านั้นขาดน้ำ: หากปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำทั้งในช่วงก่อน ระหว่าง...
7 สาเหตุที่ทำให้คุณเหนื่อยกว่าปกติระหว่างออกกำลังกาย
ในยุคที่เทรนด์รักสุขภาพมาแรงแบบฉุดไม่อยู่
คนจำนวนไม่น้อยหันมาดูแลเรื่องอาหารการกิน และเริ่มให้ความสนใจเกี่ยวกับการออกกำลังกายมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเกิดความรู้สึกเหนื่อยในขณะที่ออกกำลังกายถือเป็นเรื่องปกติ
แต่หากคุณรู้สึกเหนื่อยมากกว่าปกติทั้ง ๆ ที่ออกกำลังกายแบบเดิม ร่างกายอาจกำลังต้องการบอกอะไรกับคุณก็ได้ค่ะ
เราลองมาดูพร้อมกันดีกว่าว่าอาการที่ว่านี้เกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง
1.นอนไม่เพียงพอ
การนอนไม่เพียงพออาจเป็นตัวการที่ทำให้คุณหมดแรงได้ง่ายในระหว่างออกกำลังกาย
เพราะร่างกายของเราหลั่งฮอร์โมน คอร์ติซอลและฮอร์โมนอะดรีนาลีนออกมามากขึ้นเมื่อนอนน้อย
ฮอร์โมนเหล่านี้สามารถทำให้เกิดภาวะเครียดต่อเนื่องในร่างกาย
ซึ่งจะไปลดความสามารถในการฟื้นฟูร่างกาย อย่างไรก็ตาม นอกจากคุณจะนอนให้เพียงพอแล้ว
ก็อาจใช้วิธีทำสมาธิเพื่อให้ร่างกายและจิตใจสงบลง ซึ่งมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า
การทำสมาธิสามารถทำให้คุณภาพการนอนดีขึ้น
2.ไทรอยด์มีปัญหา
ฮอร์โมนไทรอยด์มีหน้าที่สำคัญในการควบคุมระบบเผาผลาญของร่างกาย
หากมีฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำเกินไป ร่างกายจะผลิตพลังงานออกมาน้อยกว่าที่ต้องการ
และคุณสามารถรู้สึกเหนื่อยง่าย แต่หากมีฮอร์โมนชนิดนี้มากเกินไป
คุณอาจรู้สึกว่ามีพลังงานเพิ่มขึ้นในช่วงแรก
แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็สามารถทำให้กล้ามเนื้อสลายตัวและเกิดการอักเสบ อย่างไรก็ดี
คุณสามารถมีส่วนช่วยให้ต่อมไทรอยด์มีสุขภาพดีโดยนอนให้เพียงพอ
และทานอาหารที่มีแร่ธาตุซิงก์ ซีลีเนียม เหล็ก และไอโอดีน
ซึ่งสามารถพบได้ในพืชทะเล ไข่ ปลา และเกลือ
3.ร่างกายขาดน้ำ
ภาวะขาดน้ำสามารถทำให้คุณมีอาการอ่อนล้าขณะออกกำลังกายเช่นกัน เพราะเมื่อร่างกายขาดน้ำ
หัวใจจำเป็นต้องทำงานหนักขึ้น นอกจากนี้หากคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอ
ก็จะทำให้ปริมาณเลือดลดลง
ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้นเพื่อให้สารอาหารและออกซิเจนถูกส่งไปยังกล้ามเนื้อ
ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่คุณออกกำลังกาย ร่างกายจะขับน้ำออกมาในรูปแบบของเหงื่อ นั่นหมายความว่า
คุณได้สูญเสียอิเล็กทรอไลต์อย่างโซเดียมและโพแทสเซียม...
เรื่องกลิ่นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น….7 วิธีป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นตัว
ปัญหากลิ่นตัวนับว่าเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปทั้งในผู้ชายและผู้หญิง นอกจากจะไม่ดีต่อภาพลักษณ์แล้ว
ก็ยังส่งผลกระทบต่อคนอื่นอีกด้วย ซึ่งคงเป็นเรื่องที่น่าอายไม่น้อยหากกลิ่นตัวของคุณโชยไปเตะจมูกของคนรอบข้าง
นอกจากนี้การมีกลิ่นตัวยังส่งผลต่อบุคลิกภาพ ความพึงพอใจในตัวเอง และความมั่นใจ
อย่างไรก็ตาม โชคดีที่มีหลายวิธีที่สามารถป้องกันการเกิดกลิ่นตัวได้ค่ะ เริ่มสงสัยแล้วใช่ไหมว่ามีวิธีใดบ้าง
ลองมาดูพร้อมกันเลยดีกว่า
1.อาบน้ำ
ผิวของเราสะสมแบคทีเรียและสิ่งสกปรกในระหว่างวัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น
การอาบน้ำทุกวันจะช่วยกำจัดเหงื่อ สิ่งสกปรก และแบคทีเรียบนผิวได้ค่ะ อย่างไรก็ตาม
โดยธรรมชาติแล้วเหงื่อของเราไม่มีกลิ่นเหม็น
แต่เมื่อแบคทีเรียที่อยู่บนผิวผสมกับเหงื่อ มันก็จะแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว
และทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ในที่สุด วิธีแก้ปัญหาคือ ให้คุณทำความสะอาดผิวบริเวณที่มีเหงื่อออกมากเป็นพิเศษให้ทั่ว
และเช็ดผิวให้แห้งเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวชื้น
2.โกนขนรักแร้
การโกนขนใต้วงแขนไม่ได้ทำให้เหงื่อออกน้อยลง แต่อาจช่วยป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นเหม็นใต้วงแขน
ด้วยความที่เส้นขนมีรูพรุน ทำให้มันดูดซับกลิ่นที่เกิดจากเหงื่อ
นอกจากนี้การมีเส้นขนมากเกินไปจะทำให้ใต้วงแขนอับชื้น ซึ่งอาจทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี
และอาจทำให้เกิดกลิ่นเหม็นได้ในที่สุด อีกทั้งยังทำให้เหงื่อระเหยได้ช้าลง หากใต้วงแขนเรียบเนียนไร้ขน
ก็จะทำให้คุณรู้สึกสดชื่นและมีแบคทีเรียลดลง ซึ่งจะทำให้กลิ่นตัวลดลงตามไปด้วย
ในกรณีที่คุณเพิ่งออกกำลังกายเสร็จ ก็ควรล้างรักแร้และร่างกายส่วนอื่น ๆ
ให้สะอาดหมดจด และเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เพื่อไม่ให้แบคทีเรียเกิดการหมักหมม
3.ใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยระงับเหงื่อและระงับกลิ่นกาย
ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยระงับเหงื่อมีสรรพคุณช่วยไม่ให้เหงื่อออก...
แนะนำ 7 วิธีป้องกันกรดไหลย้อนตอนกลางคืน
ภาวะกรดไหลย้อนสามารถเล่นงานเราได้ทุกเวลา
แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เผชิญกับปัญหานี้ตอนกลางคืน
ซึ่งจะยิ่งไปซ้ำเติมคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนให้แย่ลงไปอีก ทั้งนี้ภาวะกรดไหลย้อนเกิดจากการที่กล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารผิดปกติ
ทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนไปทางหลอดอาหารและช่องปากได้ในที่สุด ซึ่งผู้ป่วยจะรู้สึกแสบร้อนหรือระคายเคือง
และอาการนี้มักเกิดขึ้นร่วมกับอาการเจ็บหน้าอกและกลืนอาหารลำบาก อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าภาวะกรดไหลย้อนส่วนใหญ่ไม่ได้มีความรุนแรงและไม่ได้ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระดับที่น่าเป็นห่วง
แต่เราก็ควรหาวิธีป้องกันไว้ก่อนค่ะ
เพราะภาวะนี้สามารถส่งผลต่อการนอนและคุณภาพชีวิตของคุณได้
สำหรับวิธีป้องกันภาวะกรดไหลย้อนที่เกิดขึ้นเวลากลางคืนมีดังนี้
1.หลีกเลี่ยงการทานอาหารก่อนเข้านอน
การทานอาหารก่อนเข้านอนอาจทำให้คุณรู้สึกอิ่มท้องและพร้อมสำหรับเข้านอน
แต่พฤติกรรมดังกล่าวกลับทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อนได้ค่ะ อย่างไรก็ตาม
วิธีแก้ปัญหาคือ ไม่ทานอาหารแบบจัดเต็มเกินไปในช่วง 2-3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน
การทำเช่นนี้จะสามารถควบคุมการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารก่อนเข้านอนได้
2.จำกัดการทานอาหารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
อาหารที่ทำให้กรดในร่างกายเพิ่มขึ้นสามารถทำให้อาการกรดไหลย้อนที่เกิดขึ้นตอนกลางคืนแย่ลง
ดังนั้นพยายามจำกัดการทานอาหารที่มีความเป็นกรด โดยเฉพาะตอนทานอาหารค่ำ เช่น
มะเขือเทศ คาเฟอีน อาหารเนื้อตัดเย็น อาหารทอด อาหารเผ็ด และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
3.ยกหัวเตียงให้สูงขึ้น
หนึ่งในวิธีป้องกันการเกิดกรดไหลย้อนตอนกลางคืนที่ดีที่สุดคือ
การยกหัวเตียงให้สูงขึ้นเล็กน้อยค่ะ โดยอาจใช้หมอนมาช่วยหนุน ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยให้กระเพาะอาหารและลำคออยู่ที่ความสูงเดียวกัน
จึงช่วยควบคุมกรดในกระเพาะอาหารไม่ให้ไหลย้อนขึ้นมาทางลำคอได้นั่นเอง
4.ลดน้ำหนัก
คนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานและเป็นโรคอ้วนจำเป็นต้องลดน้ำหนักเพื่อควบคุมอาการกรดไหลย้อน
เพราะว่าการมีไขมันสะสมบริเวณรอบเอวจะทำให้การบีบอัดบริเวณกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น และกรดในกระเพาะอาหารจะไหลย้อนกลับไปทางหลอดอาหาร
เมื่อน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม นอกจากปัญหากรดไหลย้อนจะบรรเทาลงแล้ว
สุขภาพโดยรวมก็จะดีขึ้นอีกด้วย
5.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์
บุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถือเป็นหนึ่งในตัวการที่ทำให้อาการกรดไหลย้อนแย่ลง
ทั้งนี้การสูบบุหรี่ไม่เพียงแต่ทำให้คุณมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งหลอดอาหารเพิ่มขึ้นเท่านั้น
แต่ยังกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดออกมามากขึ้น
และทำให้กล้ามเนื้อหูรูดส่วนล่างของหลอดอาหารทำงานได้แย่ลง ในขณะที่การดื่มเหล้าหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดอื่น
ๆ สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการของภาวะกรดไหลย้อน หากคุณเป็นทั้งสิงห์อมควันและนักดื่มตัวยง
ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกรดไหลย้อนก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น
6.สวมเสื้อผ้าที่หลวม
การใส่ชุดนอนที่หลวมไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณพลิกตัวหรือนอนหลับได้สบายมากขึ้นเท่านั้น
แต่ยังมีผลต่ออาการของภาวะกรดไหลย้อนอีกด้วย ทั้งนี้การใส่ชุดนอนที่รัดแน่นจนเกินไปสามารถทำให้เกิดแรงกดภายในท้อง
ส่งผลให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับมายังหลอดอาหารได้ในที่สุด ดังนั้นการใส่ชุดนอนที่หลวม
และทำให้รู้สึกสบายตอนสวมใส่จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
7.ควบคุมความเครียด
การจัดการกับความเครียดได้อย่างเหมาะสมไม่เพียงแต่ลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการกรดไหลย้อนตอนกลางคืนเท่านั้น...
ทำไมริมฝีปากแห้งทั้ง ๆ ที่อากาศก็ไม่ได้หนาว? ที่นี่มีคำตอบ
โดยทั่วไปปัญหาริมฝีปากแห้งแตกมักเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาว
หรือเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอากาศหนาวหรือแห้ง แต่ความจริงแล้วมีหลายสาเหตุที่ทำให้ริมฝีปากของเราแห้งค่ะ
ในบางครั้งร่างกายอาจส่งสัญญาณเตือนบางอย่างเพื่อต้องการบอกให้คุณทราบเป็นนัย ๆ
ว่าสุขภาพของคุณกำลังมีปัญหา ซึ่งบางคนอาจไม่ทันสังเกตหรือระวังตัว
ทำให้ปัญหาลุกลามได้ในที่สุด
ลองมาดูกันดีกว่าว่ามีสาเหตุใดอีกบ้างที่ทำให้ริมฝีปากของคุณแห้งแตก
1.ติดเชื้อยีสต์
การที่ริมฝีปากของคุณแห้งแตกนั้นอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อยีสต์
โดยเฉพาะหากรอยแตกเกิดขึ้นที่มุมของริมฝีปาก ความจริงแล้วเราทุกคนต่างก็มียีสต์ที่ผิว
แต่หากมียีสต์มากเกินไป ก็สามารถทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้ยีสต์สามารถเติบโตภายในน้ำลายที่อุ่นและชื้น
ซึ่งวิธีการรักษาริมฝีปากแห้งที่เกิดจากยีสต์ที่ดีที่สุดคือ การดื่มน้ำ และการควบคุมตัวเองไม่ให้เลียริมฝีปาก
2.อาการแพ้
หากคุณสังเกตว่าริมฝีปากของตัวเองทั้งแห้งและดูบวมเหมือนกับเพิ่งฉีดฟิลเลอร์
ก็อาจเป็นสัญญาณที่บอกว่าคุณกำลังแพ้บางสิ่งค่ะ ตัวอย่างเช่น
การแพ้ผลิตภัณฑ์สำหรับริมฝีปากที่มีส่วนผสมของเชียบัตเตอร์ ขี้ผึ้ง
หรือน้ำมันละหุ่ง หรืออาจเกิดจากการแพ้อาหารบางชนิด เป็นต้น อย่างไรก็ดี
ให้คุณจดชื่ออาหารที่กำลังทานหรือผลิตภัณฑ์ที่คุณกำลังใช้ และลองพิจารณาว่าเกิดจากอะไร
จากนั้นให้ลองปรับเปลี่ยนจนกว่าจะเจอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับคุณ
3.ร่างกายขาดน้ำ
หากคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอ
ร่างกายก็จะส่งสัญญาณเตือนให้คุณทราบ เช่น การมีริมฝีปากแห้ง ภายในช่องปากแห้ง
ผิวแห้ง หรือแม้แต่ตาแห้ง ซึ่งคุณสามารถป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำโดยดื่มน้ำให้ได้วันละ
8-12
แก้วต่อวัน หากคุณเป็นโรคเบาหวานหรือเป็นนักกีฬา ก็อาจต้องดื่มน้ำมากกว่าปกติ
4.ได้รับวิตามินไม่เพียงพอ
วิตามินบีมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทำงานของร่างกาย
โดยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างพลังงาน การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
และการรักษาผิวให้มีสุขภาพดี หากได้รับวิตามินบีไม่เพียงพอ
ก็อาจทำให้เกิดปัญหาผิวต่าง...
รู้ไว้จะได้รับมือถูก….7 สาเหตุที่ทำให้ผมร่วง
เส้นผมเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่มีผลต่อบุคลิกภายนอกของเรา
ซึ่งหนึ่งในปัญหาเกี่ยวกับเส้นผมที่ทำให้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายกลุ้มใจไม่น้อยก็คือ
ปัญหาผมร่วงนั่นเอง การเห็นเส้นผมที่เราตั้งใจหวีและบำรุงเช้าเย็นหลุดร่วงไปทีละน้อย
ก็สามารถทำให้เรารู้สึกจิตตก และกังวลไปต่าง ๆ นานา อย่างไรก็ตาม
การรู้สาเหตุของปัญหาสามารถช่วยให้คุณรับมือกับปัญหาผมร่วงได้อย่างเหมาะสมค่ะ
แต่จะเกิดจากสาเหตุใดบ้างนั้น เราลองมาดูพร้อมกันเลยดีกว่า
1.ทานอาหารที่มีโปรตีนไม่เพียงพอ
การทานอาหารประเภทโปรตีนไม่เพียงพอเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผมหยุดเจริญเติบโต
ผมร่วง และแม้แต่ทำให้เส้นผมเปลี่ยนสี อย่างไรก็ตาม
ผู้หญิงควรทานโปรตีนให้ได้อย่างน้อยวันละ 48 กรัม
ซึ่งคุณสามารถพบโปรตีนได้ในอาหารหลายชนิดนอกเหนือจากเนื้อสัตว์ ตัวอย่างเช่น ไข่
อัลมอนด์ นม กรีกโยเกิร์ต ควินัว เป็นต้น
2.ทานอาหารที่มีธาตุเหล็กไม่เพียงพอ
คนที่ทานมังสวิรัติหรือคนที่พยายามจำกัดการทานเนื้อสัตว์อาจประสบปัญหาขาดธาตุเหล็ก
ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดปัญหาผมร่วงได้ค่ะ ผู้หญิงที่มีอายุอยู่ในช่วง 19-50 ปี และ 51 ปีขึ้นไป ควรทานธาตุเหล็กให้ได้...
สมองดีสร้างได้! 7 เคล็ดลับช่วยให้ความจำดีขึ้น
เคยไหมกับการหากุญแจรถหรือของใช้ในบ้านไม่เจอเพราะจำไม่ได้ว่าวางไว้ตรงไหน?
หากคำตอบคือใช่
เราอยากบอกว่าคุณไม่ได้เผชิญกับปัญหานี้คนเดียว
อาการหลงลืมสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางออก
เพราะการทำกิจกรรมบางอย่างสามารถช่วยให้คุณมีความจำที่เฉียบแหลมและป้องกันการสูญเสียความจำได้ค่ะ
ลองมาดูกันดีกว่าว่ามีกิจกรรมใดบ้าง
1.ออกกำลังกายทุกวัน
การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปทั่วทั้งร่างกายไม่เว้นแม้แต่สมอง
ซึ่งอาจช่วยรักษาความจำของคุณให้เฉียบคมอยู่เสมอ สำหรับวิธีออกกำลังกายที่อยากแนะนำก็คือ
การออกกำลังกายแบบแอโรบิกระดับหนักปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น การเดินเร็ว
หรือหากออกกำลังกายแบบแอโรบิกระดับหนัก เช่น วิ่งเหยาะ ก็พยายามออกกำลังกายให้ได้ 75 นาทีต่อสัปดาห์
แต่ถ้าคุณไม่มีเวลา ก็อาจพยายามเดินให้ได้วันละ 10 นาที
2.หมั่นฝึกสมอง
หากการออกกำลังกายช่วยให้คุณมีร่างกายที่แข็งแรง
ในทำนองเดียวกัน การทำกิจกรรมที่กระตุ้นสมองก็จะช่วยให้สมองมีสุขภาพดี
และอาจช่วยป้องกันไม่ให้คุณสูญเสียความจำ ตัวอย่างของกิจกรรมที่ช่วยลับสมอง เช่น การเล่นปริศนาอักษรไขว้
(Crossword) การใช้เส้นทางอื่นเมื่อขับรถ การเรียนดนตรี การเป็นอาสาสมัคร
ฯลฯ
3.เข้าสังคมเป็นประจำ
การมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเท่านั้น
แต่ยังช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าและความเครียดอีกด้วย...